ผิวขาว อย่างมหัศจรรย์ ?เนื่องมาจากในแสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) โดยประกอบด้วยรังสี UV - A และ UV - B ซึ่งหากจะเปรียบเทียบกันที่ปริมาณแล้วรังสี UV - A จะมีปริมาณสุงกว่ารังสี UV - B หลายเท่าตัว แต่รังสี UV - B จะมีผลต่อผิวหนังมากกว่ารังสี UV - A คือจะทำให้เกิดอาการไหม้แดด กระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างสี และเมื่อมีการสะสมมากๆจะก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ ในส่วนของประเทศไทยเองซึ่งตั้งอยู่ในเขตร้อนมีแสงแดดสม่ำเสมอตลอดทั้งปี ทำให้ได้รับอิทธิพลจากรังสี UV อย่างเต็มที่เป็นผลให้คนไทยมีผิวค่อนข้างคล้ำแดด แต่คนไทยส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้หญิงปรารถนาที่จะมีผิวขาวเนียน ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผิวขาวจึงเข้ามามีบทบาทแพร่หลายค่อนข้างมากและมีให้เลือกใช้หลากหลายชนิดด้วยกัน ผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาวที่มีวางจำหน่ายในปัจจุบันนี้ อาจจำแนกตามประเภทผลิตภัณฑ์ได้ดังนี้ การผสมสารกันแดดชนิดแสงลงในแป้ง เช่น titanium dioxide และ zineoxide ซึ่งเป็นสารกันแดดชนิดทึบแสง เมื่อทำการบดผงละเอียดจะทำให้ความทึบแสงลดลง ขณะเดียวกันก็จะเพิ่มประสิทธิภาพการสะท้อนแสงได้ดีขึ้น จึงนิยมนำไปผสมในผลิตภัณฑ์สำหรับผิวขาว ซึ่งนอกจากจะปลอดภัยแล้ว เมื่อทาก็จะทำให้ผิวขาวทันทีแต่จะมีข้อเสียตรงที่ถ้าใช้ในปริมาณสูงเกินไป ผิวก็จะขาวเกินไปด้วย และจะขาวมากขึ้นเมื่อใช้ในระยะยาว เพราะสารกันแดดชนิดทึบแสงนี้จะลดปริมาณแสงอัลตราไวโอแลต ที่จะเข้าไปในเซลล์ทำให้การทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสีลดลง การผสมสารกันแดดชนิดโปร่งใสในครีมทาผิวหน้า เช่น PABA, cinnamate,oxybenzone, salicylate ฯลฯ สารเหล่านี้จะดูดซับแสงไว้ไม่ให้ผ่านเข้าไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสี ทำให้สีผิวขาวขึ้นหลังใช้ผลิตภัณฑ์นี้ประมาณ 3-4 สัปดาห์ สารกันแดดแบบโปร่งใสนิยมผสมในครีมทาผิวทุกชนิด เพราะไม่ทำให้คุณสมบัติทางกายภาพของครีมเปลี่ยนไป และประสิทธิภาพของครีมนอกจากลดสีผิวได้แล้วยังช่วยลดการเสื่อมของผิวจากแสงอัลตราไวโอเลตได้ จึงนิยมโฆษณาครีมทาผิวชนิดนี้ว่ามีสารป้องกันริ้วรอย สารเร่งการหลุดลอกของผิวหนัง เช่น สาร alpha hydroxy acid (AHA) ซึ่งเป็นกรดผลไม้ที่ได้จากธรรมชาติ เช่น มะนาว ส้ม กากน้ำตาลทรายแดง แอปเปิ้ล นมเปรี้ยว ฯลฯ ซึ่งสารเหล่านี้มักนิยมนำมาผสมในครีมทาผิว โดยหวังผลว่าเมื่อผิวคล้ำหลุดลอกออก ผิวใหม่ซึ่งขาวกว่าจะขึ้นมาทดแทนผิวเดิม ทั้งนี้ยังเป็นข้อถกเถียงถึงประสิทธิภาพว่าลดสีผิวได้จริงหรือไม่ แต่ข้อดีของกรดผลไม้ที่เชื่อถือได้คือการช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวหนัง วิตามินซี หรือวิตามินอี ที่ผสมในครีมทาผิวที่วางจำหน่ายในปัจจุบันนี้ ยังไม่มีการวิเคราะห์ถึงประสิทธิภาพที่แน่ว่ามีประสิทธิภาพ ในการทำลายอนุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวอันตรายที่ทำลายเซลล์ผิวหนังและเซลล์เม็ดสี กรดวิตามิน เอ จะช่วยเร่งการหลุดลอกของเซลล์ผิวหนังและอาจลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี แต่สารนี้ไม่อนุญาตให้ผสมในเครื่องสำอางทั่วไป เพราะจะทำให้ระคายผิว Hydropuinone และสารปรอท เป็นตัวยาหลีกในการรักษาฝ้าที่สามารถลดการทำงานของเอนไซม์tyrosinase แต่กระทรวงสาธารณสุข ไม่อนุญาตให้ผสมในเครื่องสำอาง ดังนั้นในการผลิตเครื่องสำอางจึงได้นำสาร kojic acid, licorice, extract ฯลฯ มาใช้ ซึ่งมีคุณสมบัติลดการทำงานของเอนไซม์เช่นกัน แต่ประสิทธิภาพที่ได้ยังไม่แน่ชัดเพราะยังไม่มีการพิสูจน์ในผิวของคน หัวข้ออื่นๆ : ผิวขาวอย่างมหัศจรรย์ แชมพูขจัดรังแค การดูแลผิวให้สวยใส วิธีเลือกใช้ครีมกันแดด
|